27 May
27May
ค่า PA ในการป้องกันรังสี UVA

PA หรือ Protection Grade of UVA เป็นค่าที่แสดงถึงคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ (UVA) ส่วนเครื่องเครื่องหมาย + ที่ตามหลังนั้นคือค่าความสามารถในการปกป้องผิว โดยวัดเป็นเท่าของการเกิดผิวคล้ำดำ (Skin pigmentation) โดยค่า PA จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ระดับ ดังนี้

  • PA+ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 1-4 เท่าของผิวปกติ หรือป้องกันได้น้อย
  • PA++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 4-8 เท่าของผิวปกติ หรือป้องกันได้ปานกลาง (ทำงานในร่ม)
  • PA+++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 8-16 เท่า หรือป้องกันได้มาก (ทำงานกลางแดด)
  • PA++++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 16 เท่าขึ้นไป หรือป้องกันได้สูงมาก (ทำงานกลางแดดตลอดเวลา)

ค่าPAImage caption

ค่า PA เป็นค่าที่ประเทศญี่ปุ่นคิดขึ้น ไม่ใช่ค่าสากล ดังนั้นครีมกันแดดบางยี่ห้อของต่างประเทศจึงไม่ได้ระบุค่า PA มาให้ แต่จะบอกถึงสารที่ใส่มาซึ่งสามารถป้องกันรังสี UVA ได้ เช่น avobenzone, zinc oxide, titanium dioxide เป็นต้น

แต่อย่างไรก็ตาม ค่า PA ก็ถือเป็นค่าที่มีความสำคัญไม่แพ้ค่า SPF เลยล่ะ เพราะมีผลการทดลองที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของประสิทธิภาพในการปกป้องผิวระหว่างการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF เพียงอย่างเดียว กับการทาครีมกันแดดที่มีทั้งค่า SPF และ PA ผลการทดลองพบว่า ครีมกันแดดที่มีทั้ง SPF และ PA สามารถช่วยปกป้องผิวไม่ให้คล้ำเสียได้มากกว่าครีมกันแดดที่มีค่า SPF เพียงอย่างเดียวอย่างเห็นได้ชัด (ระดับความไหม้ของผิวหนังต่างกันมาก)

ค่า SPF ในการป้องกันรังสี UVB

ค่าประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีบี (UVB) เราจะเรียกว่า SPF (Sun Protection Factor) แต่ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ “ค่า SPF ก็คือ ค่าความสามารถในการป้องกันรังสี UVB ไม่ให้เกิดอาการแดงของผิวหนัง” ซึ่งการจะคำนวณระยะเวลาในการป้องกันรังสี UVB จะต้องดูพื้นผิวของเราเป็นหลัก ซึ่งผิวแต่ละคนจะมีระยะเวลาในการป้องกันไม่เท่ากันอยู่แล้ว อย่างเช่น คนผิวขาวเมื่อตากแดดไปเพียง 10 นาที ผิวก็จะเริ่มแดง แต่อย่างคนทั่วไปที่มีผิวสองสีจะต้องใช้เวลาตากแดด 15 นาที ผิวถึงจะเริ่มแดง หรือถ้าเป็นคนผิวสีเข้มหรือผิวดำ ก็อาจจะต้องตากแดดนานถึง 30 นาที ผิวถึงจะเริ่มแดง เป็นต้น

ส่วนค่าตัวเลขหลัง SPF ที่ระบุไว้ อย่าง SPF 30 นั้นจะหมายถึง “การใช้ระยะเวลานานกว่า 30 เท่าของเวลาที่ทำให้ผิวแดงเมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่เรายังไม่ได้ทาครีมกันแดด” เช่น ถ้าเราอาบแดดในหน้าร้อนโดยไม่ได้ทาครีมกันแดดแล้วผิวจะเริ่มแดงในเวลา 10 นาที หมายความว่า SPF 30 จะสามารถป้องกันไม่ให้ผิวแดงได้นาน 300 นาที (5 ชั่วโมง) ดังนั้นหลังจาก 300 นาที ถ้าเรายังต้องโดนแสงแดดอยู่ ก็จำเป็นต้องทาครีมกันแดดซ้ำด้วยครับ แต่จากหลักการข้างต้นนี้เป็นเพียงการอธิบายถึงเวลาที่ต่อเนื่องเท่านั้น (เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย) ทำให้หลาย ๆ คนยังเข้าใจผิดคิดว่าหากถูกรังสียูวีในระยะเวลาที่น้อยกว่านี้ผิวคงไม่เป็นไร ! ทางที่ดีคุณควรคิดใหม่ว่า "แม้ปริมาณรังสียูวีที่ได้รับจะเป็นเพียงแค่ 1 ใน 15 ของระยะเวลาในการปกป้องจากครีมกันแดด แต่ก็ไม่ได้หมายความจะทำให้อิทธิพลจากรังสียูวีเป็นศูนย์"

อีกทั้งตัวเลขเหล่านี้ก็เป็นตัวเลขที่ได้มาจากการคำนวณเท่าคร่าว ๆ นั้น เมื่อนำมาใช้จริง ๆ ก็อาจจะเกิดความคลาดเคลื่อนได้บ้างพอสมควร ด้วยสาเหตุหลายประการ โดยเฉพาะปริมาณของครีมกันแดดที่เราใช้ทา ซึ่งถ้าจะให้ได้รับการป้องกันของค่า SPF ตามที่ระบุไว้ในฉลาก เราก็ต้องทาครีมกันแดดมากถึง 2 มิลลิกรัมต่อเนื้อที่ผิวหนัง 1 ตารางเซนติเมตร แต่ในชีวิตจริงเรามักทากันไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ประสิทธิภาพที่บอกไว้ก็อาจจะลดลง 30-50% เช่น จากตัวเลข 5 ชั่ว ก็อาจจะเหลือแค่ 2-3 ชั่วโมง เป็นต้น

ค่าSPF

ในปัจจุบันนี้การวัดค่า SPF จากปริมาณแสงแดดที่น้อยที่สุดที่ทำให้เกิดอาการแดงที่ผิวหนัง จะเป็นการสังเกตด้วยตาเป็นหลัก จึงอาจทำให้ค่าที่วัดได้ไม่เที่ยงตรงเท่าที่ควร เพราะจากการศึกษาพบว่า ปริมาณแสงที่น้อยกว่านี้อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนังและมีการทำลายเซลล์ของผิวหนังไปแล้ว ซึ่งในอนาคตอาจต้องมีการวัดการทำลายผิวหนังของแสงแดดอาการแดงที่เห็นได้ด้วยตา เช่น การดูลักษณะของเซลล์ผิวหนังที่เปลี่ยนไปจากการไหม้แดด, การดูลักษณะของเส้นใยอีลาสตินที่เปลี่ยนรูปร่าง, การลดลงของจำนวน Langerhans cell ซึ่งเป็นเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทาน เป็นต้น

นอกจากนี้ ค่า SPF ยิ่งสูงก็ยิ่งแสดงว่าครีมกันแดดนั้นมีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีได้มากขึ้นด้วย ดังนี้

  • SPF 2 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 50%
  • SPF 4 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 75%
  • SPF 6 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 80%
  • SPF 8 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 87.5%
  • SPF 10 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 80%
  • SPF 15 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 93.3%
  • SPF 20 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 95%
  • SPF 25 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 96%
  • SPF 30 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 96.7%
  • SPF 45 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 97.8%
  • SPF 50 ป้องกันแสงแดด UVB ได้ 98%

ประสิทธิภาพของค่าSPF

จะเห็นได้ว่าประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดที่ค่า SPF สูง ๆ นั้นแทบไม่มีความแตกต่างกันเลย ซึ่งอัตราการป้องกันแสงแดดจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึง SPF 30 เท่านั้น และเมื่อเลยจากจุดนี้อัตราการป้องกันจะเพิ่มขึ้นอย่างเฉื่อยมาก ๆ ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องไปซื้อกันแดดที่ค่า SPF สูง ๆ มากเกินไปมาใช้

I BUILT MY SITE FOR FREE USING